ทีม “ชาลเก้” ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งสโมสรจากเยอรมนีที่มักให้โอกาสบรรดานักเตะดาวรุ่งอยู่เสมอ เมื่อต้นฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขาส่งเลเวนท์ แมร์จัน ลงสนามไปแทนอามีน ฮาริท ในเกมเจอกับโบรุสเซีย เมินเชนกลัดบัค ทำให้แมร์จันกลายเป็นนักเตะอายุต่ำกว่า 20 ปีผู้ที่ 100 ของสโมสรชาลเก้ที่ได้ลงประเดิมสนามในบุนเดสลีกา
วันนี้เราลองมาเจาะลึกดูกันว่ามีเด็กปั้นจากชาลเก้คนไหนบ้างที่เติบโตจากสโมสรแห่งเมืองเกลเซนเคียร์เชน และพัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นนักเตะระดับโลกได้สำเร็จ
1) มานูเอล นอยเออร์

ลงเล่นในบุนเดสลีกาให้ชาลเก้: 154 นัด (62 คลีนชีท)
“เขาคือคนธรรมดามากๆคนนึงนี่แหละ ในชั้นเรียนคุณไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะกลายเป็นนักเตะอาชีพในอนาคต” ครูในสมัยเรียนกล่าวถึงนอยเออร์ เขาอาจไม่ใช่คนที่มีบุคลิกโดดเด่นในโรงเรียน แต่ทักษะและพรสวรรค์ด้านบอลของนอยเออร์ถือว่าหาใครเปรียบเทียบชั้นยาก
นอยเออร์เข้าร่วมเป็นสมาชิกทีมชาลเก้ในปี 1991 ตอนอายุได้เพียงเกือบ 5 ขวบ 14 ปีต่อมาเขาก็ได้เซ็นสัญญานักเตะอาชีพกับทีม “ราชันสีน้ำเงิน” โดยเป็นผู้รักษาประตูมือสามของทีมชุดใหญ่ และได้ประเดิมเฝ้าเสาในบุนเดสลีกาเมื่อปี 2006 เมื่อนอยเออร์อายุได้ 20 ปี เขาก็ยึดตำแหน่งโกล์มือหนึ่งในทีมได้สำเร็จ
ทุกวันนี้เจ้าหนูนอยเออร์ในวันนั้นกลายเป็นผู้รักษาประตูที่คนทั่วโลกรู้จัก และได้ฉายาว่าเป็นผู้รักษาประตูแห่งฟุตบอลยุคโมเดิร์น หรือ “สวีปเปอร์คีปเปอร์”

ลงเล่นในบุนเดสลีกาให้ชาลเก้: 30 นัด (0 ประตู)
“เมซุตอยากจะเล่นแต่ฟุตบอล เขาไม่สนใจอย่างอื่นเลย” ครูวิชาพละของโอซิลกล่าว “เขาต้องการสนุกกับการเล่นฟุตบอล ตลอดเวลาผมมีความรู้สึกว่าเขาคงเอาลูกฟุตบอลไปนอนบนเตียงด้วย”
“ผมเป็นแฟนบอลทีมชาลเก้มาเสมอ” โอซิลให้สัมภาษณ์ในสมัยที่ยังเป็นนักเตะชาลเก้ที่มีทรงผมโดดเด่น จริงๆแล้วในตอนแรกชาลเก้ไม่สนใจจะคว้าตัวโอซิลมาร่วมทีมด้วยซ้ำ เขาต้องไปเล่นให้กับสโมสรโรท-ไวซ์ เอสเซน อยู่ถึง 5 ปี จนกระทั่งในปี 2005 โอสิลจึงจะได้สวมเสื้อทีม “ราชันสีน้ำเงิน” เป็นครั้งแรก
โอซิลคว้าแชมป์เยาวชนเยอรมันถ้วยเอได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เล่นให้ชาลเก้ด้วยการปราบบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งต่อมาเขาได้เลื่อนขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่และประเดิมศึกบุนเดสลีกาในปี 2006 ด้วยวัย 17 ปี โอซิลได้โอกาสลงสนามในฤดูกาลนั้นไป 19 นัดช่วยให้ชาลเก้คว้าตำแหน่งรองแชมป์ลีกได้สำเร็จ
ต่อมาในปี 2008 โอซิลก็มีอันต้องย้ายขึ้นเหนือไปร่วมทีมแวร์เดอร์ เบรเมน เนื่องจากชาลเก้ตกลงใจไม่ต่อสัญญา ปัจจุบันโอซิลกลายเป็นนักเตะระดับโลกที่ได้ร่วมทีมชั้นนำมากมายและยังคงค้าแข้งอยู่กับทีม “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ด้วยวัย 31 ปี

ลงเล่นในบุนเดสลีกาให้ชาลเก้: 47 นัด (11 ประตู)
ซาเน่เคยเล่นให้ทีมเยาวชนชาลเก้อยู่ 3 ปีก่อนจะย้ายไปอยู่กับไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ในปี 2008 เขาคว้าแชมป์ลีกภูมิภาคกับทีม “ห้างขายยา” ในปี 2010 และ 3 ปีหลังจากนั้นซาเน่ก็ย้ายกลับไปอยู่กับชาลเก้อีกครั้งซึ่งถือว่าน่าเสียดายสำหรับสาวกทีม “ห้างขายยา” สุดๆ
ชาลเก้รู้ดีว่าซาเน่คือนักเตะคนพิเศษ จึงดึงตัวกลับมาร่วมทีมอีกครั้ง คราวนี้เขากลายเป็นนักเตะตัวสำคัญของทีมชุดยู 19 ก่อนที่จะถูกดันขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ในปี 2014 รวมทั้งได้ลงประเดิมสนามในบุนเดสลีกาด้วยวัย 18 ปี โดยระหว่างนั้นซาเน่ก็ยังได้ลงเล่นให้ทีมชุดยู 19 ไปด้วยและช่วยทีมคว้าถ้วยแชมป์ระดับประเทศได้สำเร็จ
4) ยูเลียน ดรักซ์เลอร์

ลงเล่นในบุนเดสลีกาให้ชาลเก้: 119 นัด (18 ประตู)
ดรักซ์เลอร์คว้าแชมป์เดเอฟเบ คัพ ได้ในปี 2011 และได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ปีสองปีก่อนหน้านั้นผมยังดูทีวีตอนนักฟุตบอลชูถ้วยแชมป์อยู่เลย ในตอนนี้มันมาอยู่ในมือของผมแล้ว” ก็น่าเหลือเชื่ออยู่หรอกเพราะในตอนนั้นดรักซ์เลอร์คือผู้ทำประตูขึ้นนำให้ชาลเก้ พาทีมคว้าแชมป์เหนือดุยส์บวร์ก ไปด้วยสกอร์ 5-0 ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น! ซึ่งในขณะนั้นเจ้าหนูดรักซ์เลอร์ยังไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ฉลองแชมป์กับเพื่อนร่วมทีมได้เลยด้วยซ้ำ ดรักซ์เลอร์จึงกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ
ดรักซ์เลอร์ประเดิมสนามให้ชาลเก้ด้วยวัย 17 ปี 117 วัน ถือเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ทีมชาลเก้ และในปี 2014 เขาก็สร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นครบ 100 เกมบุนเดสลีกา
ปัจจุบันดรักซ์เลอร์ค้าแข้งอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่แห่งกรุงปารีสอย่างเปแอสเช เขาคือนักเตะที่มุ่งมั่น ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและกระหายในการทำประตูอยู่เสมอ

ลงเล่นในบุนเดสลีกาให้ชาลเก้: 240 นัด (12 ประตู)
เฮอเวเดสคือนักเตะที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ชาลเก้รู้เรื่องนี้ดีและมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้เขาตั้งแต่ยังเล่นในชุดยู 19 จากนั้นในปี 2005 เขาก็ได้รับสัญญาค้าแข้งอาชีพกับทีม “ราชันสีน้ำเงิน” ก่อนที่ในปี 2007 จะได้ลงประเดิมศึกบุนเดสลีกาในเดือนตุลาคมปีดังกล่าวด้วยวัย 19 ปีและได้รับความไว้วางใจจากโค้ชให้ลงเล่นในศึกแชมเปียนส์ลีก ซึ่งต่อมาเฮอเวเดสยังได้รับปลอกแขนกัปตันทีมชุดใหญ่ของชาลเก้อีกด้วย
เฮอเวเดสคือนักเตะที่ทุ่มเททุกอย่างให้กับกลุ่ม เขาและก็ดรักซ์เลอร์ต่างก็เป็นหนึ่งในนักเตะเยอรมันชุดที่คว้าแชมป์โลกปี 2014 ที่ประเทศบราซิล เฮอเวเดสได้รับการยกย่องจากฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์
ว่าเป็นนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจมากที่สุด โดยสามารถโยกจากตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คไปเล่นแบ็คขวาให้กับทีมชาติเยอรมนีได้อย่างยอดเยี่ยม